“ดอยอินทนนท์” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่จัดว่าเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนมาจำนวนไม่น้อย เรียกได้ว่าเป็นที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆของภาคเหนือเลยก็ว่าได้ อีกทั้งเต็มไปด้วยวิวธรรมชาติสวยๆดูสบายตา นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยป่าใหญ่ดึกดำบรรพ์ (Old growth forest) โดยเฉพาะสภาพอากาศดอยอินทนนท์ที่หนาวเย็นและชุ่มฉ่ำสบายๆตลอดทั้งปี ส่งผลให้มีมอส เฟิร์น และพืชชนิดกาฝากอีกหลายชนิดขึ้นปกคลุมตามลำต้นไม้ใหญ่ๆอย่างหนาแน่น รับรองได้ว่าใครที่เดินทางขึ้นดอยอินทนนท์จะต้องประทับใจกับสีสันของใบไม้ป่าผลัดใบที่สวยงามในช่วงปลายปี
บนดอยอินทนนท์ยังเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดพากันชูช่อบานสะพรั่งอวดความงดงามให้นักท่องเที่ยวได้กดชัตเตอร์รัวๆ อย่างเช่น ดอกกุหลาบพันปี หรือหากชื่นชอบความโล่งของป่าทุ่งหญ้า สามารถมองเห็นสภาพภูมิประเทศแบบสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย
“ดอยอินทนนท์” เมื่อปีพ.ศ. 2515 ได้ถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 6 ของประเทศไทย มีพื้นที่ทั้งหมด 482.4 ตารางกิโลเมตรครอบคลุมพื้นที่ของอำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ อุณหภูมิดอยอินทนนท์ตลอดทั้งปีค่อนข้างต่ำบางช่วงในหน้าหนาวติดลบจนเกิดแม่คะนิ้งไว้ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความสวยงาม ส่วนทางไปดอยอินทนนท์จากตัวเมืองขึ้นสู่ยอดดอย ระยะทางประมาณ 106 กม. เส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ปัจจุบันถูกลาดยางเป็นอย่างดี แต่จะค่อนข้างสูงชัน ฉะนั้นนักท่องเที่ยวสามารถใช้รถยนต์ส่วนตัวขับขึ้นไปได้ เพื่อที่คุณจะได้ชมวิวสวยๆดูสบายตาตลอดทางขึ้นดอยอินทนนท์ แต่ทว่าไม่มีรถส่วนตัวก็สามารถเช่ารถสองแถวที่น้ำตกแม่กลางได้เช่นกัน
บนดอยอินทนนท์ที่เที่ยวสำคัญๆมีมากมายแต่ละที่สวยงามมากจนนักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดโอกาสแวะเยี่ยมชม ทั้งบนดอยเองหรือบริเวณใกล้เคียงซึ่งเราได้รวบรวมจุดท่องเที่ยวสุดฮิตที่ถ้าไม่ได้แวะไปถือว่าไปไม่ถึงดอยอินทนนท์เลยทีเดียว
1.พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
สำหรับใครที่ใช้ทางขึ้นดอยอินทนนท์เมื่อมาถึงจะต้องอย่าลืมแวะสักการะพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริที่ตั้งอยู่เคียงคู่กัน โดยวัตถุประสงค์ในการสร้างขึ้นเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบและเมื่อพ.ศ.2530 และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริได้ถูกสร้างขึ้นมาถวายสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เมื่อพ.ศ.2535 วโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ บนพระมหาธาตุแห่งนี้มีวิวธรรมชาติสวยๆดูสวยสบายตาสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของบนยอดดอยและชมความงามบนทะเลหมอกในยามเช้า
2.กิ่วแม่ปาน
ตั้งอยู่บนเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ใกล้กับพระมหาธาตุ ถือว่าเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้น ลักษณะเป็นวงรอบระยะทางโดยประมาณ 3 กิโลเมตร มีระดับความสูงถึงประมาณ 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่แสนโรแมนติกและทะเลหมอกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งเส้นทางไปดอยอินทนนท์ช่วงแรกจะผ่านเข้าไปในป่าดิบเขา ซึ่งมีบรรยากาศร่มครึ้ม สภาพอากาศดอยอินทนนท์เย็นสบาย มีเพียงแสงแดดส่องลงมารำไรเท่านั้น บนพื้นป่ายังปกคลุมไปด้วยเฟินหลากหลายชนิดและมอสสีเขียวคลุมตามโคนต้นไม้นุ่มดั่งพรมบริเวณริมห้วยชุ่มชื้นเดินได้อย่างสบายๆ จนสุดทางเดินขึ้นเขาจะทะลุออกไปยังทุ่งหญ้าโล่งกว้างมองเห็นวิวสูงสุดสวยงามเพลินตา ถัดไปจากจุดชมวิวก็คือทางขึ้นดอยอินทนนท์เลียบไปตามสันเขาเลียบทางเชิงผา มีความกว้างที่ประมาณ 1 เมตรสามารถเดินผ่านได้เพียง 1 คนเท่านั้น จึงเป็นที่มาของ “กิ่วแม่ปาน”
ช่วงเวลาท่องเที่ยวที่เหมาะสม : กิ่วแม่ปานจะเปิดให้เข้าท่องเที่ยวได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – พฤษภาคม
3.บ้านแม่กลางหลวง
คงไม่มีวิวธรรมชาติสวยๆดูสบายตาที่ไหนจะงดงามเท่าบ้านแม่กลางหลวงอีกแล้ว ซึ่งตั้งอยู่ที่ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง ท่ามกลางหุบเขาและนาข้าวแบบขั้นบันได เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวไทยภูเขาชนเผ่าปกาเกอะญอซึ่งยังใช้วิถีชีวิตแบบเรียบง่ายและผูกพันกับธรรมชาติ บรรยากาศของแม่กลางหลวงในช่วงฤดูทำนาจะอุดมไปด้วยนาข้าวเขียวขจีแบบขั้นบันไดที่ปลูกลดหลั่นกันออกไปตามไหล่เขา มีสายหมอกลอยเอื่อยและมีอุณหภูมิดอยอินทนนท์บริเวณนี้จะเย็นสบายชื่นใจ แถมมีที่พักแบบโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับมนต์เสน่ห์แห่งท้องทุ่งนาและป่าเขา ร่วมศึกษากับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ยังคงความดั้งเดิมตั้งแต่สมัยโบราณ
ช่วงเวลาท่องเที่ยวที่เหมาะสม : ชาวบ้านจะเริ่มฤดูทำนาตั้งแต่เดือนกันยายน – ต้นพฤศจิกายน
4.จุดชมวิว กม.41
เป็นอีกหนึ่งจุดยอดนิยมสำหรับชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยอดนิยม ตั้งอยู่ก่อนที่จะถึงพระธาตุโดยจุดชมวิวนี้จะตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นดอยอินทนนท์ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ผ่านไปผ่านมามักจะต้องแวะจอดรถชมทะเลหมอกในยามเช้าที่นี้ก่อนจะขึ้นทางไปดอยอินทนนท์
5.สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
สถานีวิจัยที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินงานที่เกี่ยวกับการวิจัยไม้ดอก ไม้ประดับพืชผักและผลไม้ ซึ่งจุดเด่นของสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ คือ สวน 80 ที่เติมเต็มไปด้วยดอกไม้เมืองหนาวนานาสายพันธุ์ พร้อมโรงเรือนจัดแสดงพันธุ์ไม้เมืองหนาวชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เฟริน กล้วยไม้ ดอกกุหลาบพันปี และโรงเรือนปลูกผัก บนสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ยังมีบริการบ้านพักที่อำนวยความสะดวกชั้นยอด รวมทั้งผักสดของร้านอาหารสโมสรแห่งนี้ถูกปรุงขึ้นมาจากโครงการหลวงโดยเฉพาะ รับประกันเรื่องรสชาติอาหารว่าอร่อยแบบสุดๆแถมมีหลากหลายเมนูให้เลือกได้ตามใจชอบ
สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ตั้งขึ้นที่หมู่บ้านขุนกลาง ต.ห้วยหลวง เดินทางไปทางขึ้นดอยอินทนนท์ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 ของทางหลวงหมายเลข 1009 จะเจอทางแยกขวามือเลี้ยวเข้าสู่สถานีอีกประมาณ 1 กิโลเมตร
6.บ้านผาหมอน
หมู่บ้านขนาดกลางที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบ โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านแม่กลางหลวงทางไปดอยอินทนนท์เท่าไหร่นัก สิ่งที่น่าสนใจของบ้านผาหมอน คือเป็นบ้านพักที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวหรือเรียกอีกอย่างว่ารีสอร์ทชุมชน (Bamboo Pink House) บ้านแต่ละหลังจะตั้งอยู่บนสันดอยลดหลั่นกันไปตามริมนาขั้นบันไดสามารถมองเห็นทิวทัศน์สวยงามและกลมกลืนไปกับธรรมชาติที่แสนเงียบสงบ รวมทั้งยังได้ชื่นชมกับความงามของแปลงดอกไม้เมืองหนาวอย่าง เช่น ดอกกุหลาบพันปี ที่ปลูกขึ้นท่ามกลางนาข้าวเขียวขจี นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวยังสามารถเที่ยวชมได้ทั่วหมู่บ้าน เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่กับการเรียนรู้ถึงวิถีชีวิตประจำวันและการดำเนินชีวิตของชาวกะเหรี่ยงแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็น การทอผ้า ทำการเกษตร แปลงเกษตรปลอดสาร เป็นต้น
ช่วงเวลาท่องเที่ยวที่เหมาะสม : เป็นช่วงกลางเดือนก.ย. – กลางต.ค. และช่วงท้องนาเป็นสีทองทั่วผืนดิน คือ ช่วงปลายเดือนต.ค. – ต้น พ.ย.
7. น้ำตกแม่ยะ
เป็นอีกหนึ่งน้ำตกชื่อดังที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามติดอันดับต้นๆของประเทศไทย ด้วยเหตุเพราะมีขนาดใหญ่และสวยที่สุดแถมสูงที่สุดเมื่อเทียบกับดอยอินทนนท์ที่เที่ยวทั้งหมดในเหล่าบรรดาน้ำตกในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ยอดนิยม หากใครได้มีโอกาสแวะไปทางขึ้นดอยอินทนนท์ก็ไม่ควรพลาดแวะเข้าไปสูดกลิ่นอายน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันแล้วไหลลงมาตามริมผาถึงประมาณ 30 ชั้น รวมความสูงได้กว่า 260 เมตร โดยเฉพาะในช่วงของฤดูฝนสายน้ำตกจะแผ่วงกว้างไปไกลถึง 100 เมตรเหมือนดั่งม่านน้ำ แล้วไหลลงไปรวมตัวกันที่แอ่งน้ำเบื้องล่างดูสวยงามแปลกตายิ่งนัก บางช่วงของหน้าผายังเป็นชะง่อนหินให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปหลบละอองไอน้ำที่ตกกระทบลงมาเป็นม่านน้ำไอหมอกสีขาวสะอาดตา สัมผัสได้ถึงความบริสุทธ์ของธรรมชาติอย่างที่คุณอาจจะไม่เคยพบเจอจากที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน
เส้นทางไปดอยอินทนนท์เพื่อขึ้นไปชมวิว ธรรมชาติ สวยๆ ดูสบายตา
หากใครที่ตั้งต้นจุดเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่สามารถที่จะเดินทางไปดอยอินทนนท์ได้ถึง 3 ช่องทางด้วยกัน เพื่อขึ้นไปสัมผัสกับสภาพอากาศดอยอินทนนท์ที่แสนจะเย็นสบาย ในบางครั้งอาจถึงขั้นติดลบจนเกิดแม่คะนิ้ง หรือที่เรียกกันว่าน้ำค้างแข็งขึ้นเลยเชียวคะ
เส้นทางที่ 1 : ใช้เส้นทางถนนเชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ผ่านไปทางอำเภอหางดงและอำเภอสันป่าตอง เพื่อเข้าไปถึงอำเภอจอมทอง ก่อนที่จะถึงอำเภอจอมทองสักประมาณ 2 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนสายจอมทอง-อินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) จะเริ่มเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ที่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 8 (น้ำตกแม่กลาง) แล้วตัดเข้าสู่ทางขึ้นดอยอินทนนท์
เส้นทางที่ 2 : ใช้เส้นทางถนนเชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ผ่านไปทางอำเภอหางดงและอำเภอสันป่าตอง อำเภอจอมทอง และอำเภอฮอด จากอำเภอฮออดเดินทางต่อด้วยการใช้เส้นทางสายฮอด-แม่สะเรียง ฮอด ผ่านอุทยานแห่งชาติออบหลวง หลังจากนั้นเลี้ยวขวาต่อไปยังอำเภอแม่แจ่ม ด้วยเส้นทางออบหลวง – แม่แจ่ม (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1088) จากอำเภอแม่แจ่มใช้เส้นทางแม่แจ่ม-ดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1192) ทางไปดอยอินทนนท์ที่ถนนสายจอมทอง-ดอยอินทนนท์
เส้นทางที่ 3 : เส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ทางด้านนี้ค่อนข้างที่จะลำบากกว่าเส้นทางอื่น โดยมาจากทางเชียงใหม่ตามเส้นทางถนนสายเชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ผ่านไปทางอำเภอหางดง และอำเภอสันป่าตอง จากอำเภอสันป่าตอง เลี้ยวขวาไปตามถนนเส้นสายป่าตอง-บ้านกาด-แม่วิน (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1013) แล้วต่อไปด้วยเส้นทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1284 หรือ เส้นทาง ร.พ.ช.ผ่านทางบ้านขุนวาง หลังจากนั้นทางขึ้นดอยอินทนนท์จะไปทางถนนสายจอมทอง-ดอยอินทนนท์ ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) บริเวณกิโลเมตรที่ 31
สำหรับนักท่องเที่ยวท่านใดอยากขึ้นไปสัมผัสกับแม่คะนิ้งหรือน้ำค้างแข็ง และอากาศหนาวเย็นชนิดที่ว่าอุณหภูมิติดลบแนะนำว่าควรเดินทางช่วงปลายปีในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น แต่ถ้าหากไปดอยอินทนนท์ท่องเที่ยวธรรมชาติ ชมวิวสวยๆดูสบายตา เพลิดเพลินกับความชุ่มชื้นของป่า พร้อมชมสายหมอกในม่านน้ำยามเช้า ก็สามารถเดินทางไปได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในหน้าฝนคุณก็จะพบกับความงามของละอองฝนที่ผสมผสานกับป่าเขารอบๆเกิดเป็นภาพสวยงามน่าอัศจรรย์ยิ่งนักคะ